การทำเกษตร เป็นหนึ่งในการทำมาหากินและดำรงชีวิตของคนไทยมาตั้งแต่สมัยโบราณ แต่ด้วยความที่ยุคสมัยมีการเปลี่ยนแปลงไป การทำเกษตรก็ต้องมีการเปลี่ยนแปลงไปเช่นเดียวกัน ในปัจจุบันเกิดทฤษฎีการทำเกษตรใหม่ๆ ขึ้นมามากมายและหนึ่งในทฤษฎีอันน่าสนใจ ที่เราจะมาแนะนำให้คุณผู้อ่านได้ศึกษาภายในวันนี้ ก็คือ การเกษตรทฤษฎีใหม่ซึ่งเป็นการเกษตรจากพระราชดำริของพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9
การเกษตรทฤษฎีใหม่ช่วยพี่น้องชาวไทยให้ได้ลืมตาอ้าปาก
การเกษตรทฤษฎีใหม่ มีความผูกพันกับการทำเกษตรแบบเป็นธรรมชาติอันเป็นธรรมชาติ สำหรับความหมายของการทำเกษตรแบบธรรมชาติ ก็คือ ไม่ใช้ปุ๋ยเคมีและสารเคมีทุกชนิด รวมทั้งไม่ใช้สิ่งปฏิกูลจากมนุษย์อีกด้วย แต่เป็นการมุ่งเน้นในเรื่องของการปรุงดินให้เกิดความอุดมสมบูรณ์ มีประสิทธิภาพดีเหมือนกับดินในป่า มีความเป็นธรรมชาติมากและต้นไม้ใบหญ้าพืชผักต่างๆ เจริญเติบโตได้อย่างสมบูรณ์แข็งแรง โดยไม่ต้องใช้สารเคมีเลยแม้แต่น้อย อีกทั้งยังเป็นการนำทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดมาใช้ให้เกิดประโยชน์ในวงกว้างและอย่างยั่งยืน สำหรับวิธีนี้เป็นวิธีมีประโยชน์เพราะไม่เกิดผลเสียให้แก่ธรรมชาติในระยะยาว ทำให้เกษตรกรสามารถใช้ที่ดินปลูกอย่างอื่นได้อย่างยาวนาน อีกทั้งยังส่งผลต่อคุณภาพชีวิตที่ดีของผู้บริโภค ไม่มีสารอันตรายปนเปื้อน ทำให้ผู้บริโภคบริโภคได้อย่างสบายใจ และยังเป็นการลดต้นทุนต่างๆ ของเกษตรกรเพิ่มสร้างรายได้เพิ่มมากขึ้น อันเป็นแนวทางของเกษตรทฤษฎีใหม่
จำสั้นง่ายๆ 30/30/30 และ 10
การทําเกษตรทฤษฎีใหม่ สามารถสร้างสรรค์พื้นที่ขนาด 15 ไร่ ให้ก่อเกิดเป็นขุมทรัพย์มหาศาลได้ จากการเพิ่มประสิทธิภาพ ในการใช้สอยพื้นที่ได้อย่างเหมาะสม และมีการพิจารณาถึงข้อใดถึงการปลูกพืชผักชนิดต่างๆ มาเป็นอย่างดีแล้ว อีกทั้งทฤษฎีเกษตรทฤษฎีนี้ยังมุ่งเน้นในเรื่องของการจัดเก็บน้ำ เพื่อนำมาใช้ในยามขาดแคลน จึงทำให้มีน้ำในการสร้างผลผลิตและไม่ต้องใช้น้ำที่ต้องเสียเงิน สำหรับวิธีแบ่งพื้นที่ของทฤษฎีนี้ คือ 30 30/30/30 และ 10 ได้แก่…
- 30 % ของพื้นที่แรก คือ ขุดบ่อเพื่อกักเก็บน้ำไว้ใช้ในหน้าแล้ง ทำให้มีน้ำใช้ตลอดทั้งปีและนำมาใช้เลี้ยงสัตว์น้ำเพื่อเอาไว้ใช้บริโภคเองก็ได้หรือเพื่อการค้าขายก็ได้
- 30% ของพื้นที่ 2 คือ ใช้ปลูกข้าวในฤดูฝน ทำให้ข้าวได้รับน้ำจากธรรมชาติ มีความชุ่มฉ่ำอุดมสมบูรณ์ตลอดเวลา
- 30% ที่ 3 คือ นำมาใช้ปลูกพืชผักสวนครัวต่างๆ ไม้ยืนต้น ผลไม้ สมุนไพรไทย ซึ่งสามารถนำมารับประทานในครัวเรือน หรือแบ่งเอาไว้ค้าขายก็ได้เช่นเดียวกัน
- ส่วน 10% สุดท้าย ก็คือ พื้นที่สำหรับที่อยู่อาศัย รวมทั้งใช้ในการเลี้ยงสัตว์สร้างโรงเรือนต่างๆ งานปักดอกไม้ประดับความร่มรื่นและสามารถขายได้อีกด้วย
สำหรับเกษตรทฤษฎีใหม่คือเกษตรเหมาะกับวิถีชีวิตของเกษตรกรในปัจจุบันนี้มากที่สุด
ในอดีตเกษตรกรใช้พื้นที่ 1 ในการปลูกพืชผักอย่างเดียวหรือเลี้ยงสัตว์เพียงอย่างเดียว ซึ่งไม่ตอบโจทย์ความยั่งยืนสักเท่าไหร่ เพราะกว่าที่พืชผักผลไม้จะเติบโตก็จะต้องใช้ระยะเวลา และเมื่อนำไปขายแล้วก็ต้องรอเวลาที่พืชผักจะเติบโตขึ้นอีกครั้ง ทำให้เกษตรกรไม่อาจหารายได้ได้อย่างยั่งยืนจึงทำให้เกิดการเป็นหนี้ที่ไม่รู้จบ แต่ถ้าคุณนำแนวทางเหล่านี้ไปผสมผสานกัน คุณก็จะสามารถขายสัตว์ในช่วงเวลาที่รอผักผลไม้ออกดอกออกผล และคุณก็จะสามารถขายผลไม้ในยามที่รอสัตว์คลอดลูกเช่นเดียวกัน อีกทั้งยังมีการผสมผสานทำให้นำมาบริโภคในครัวเรือนได้อีกด้วย ซึ่งแนวคิดนี้มาจากการลอกเลียนแบบระบบนิเวศของธรรมชาติ เพราะฉะนั้นจึงเป็นแนวทางที่จะทำให้เกษตรกรชาวไทยใช้ชีวิตอยู่บนลำแข้งของตัวเองได้อย่างยั่งยืนและไม่เป็นหนี้มีเงินเก็บได้อย่างมีความสุข